ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) ได้มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จนเกิดเป็นสาขาย่อยที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นคือ Generative AI ซึ่งเป็น AI ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ ๆ ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน ศิลปะ ดนตรี รวมไปถึงการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Generative AI จึงถูกยกให้เป็นอีกเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงเวลานี้ได้มีผลงานอันโดดเด่นของ Generative AI อย่าง ChatGPT ซึ่งเป็นผลงานการพัฒนาของบริษัท OpenAI หรือระบบ Gemini จากบริษัท Google ที่ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่และกระแสความตื่นเต้นไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อวงการต่าง ๆ ทั้งในแวดวงคอนเทนต์ ศิลปะ ดนตรี และโลกเสมือนจริง
Generative AI ไม่ได้มีไว้เพียงแค่ความบันเทิงและความสนุกสนานเท่านั้น แต่ยังมีการนำไปใช้งานจริงในหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น การสร้างและออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการทำงานทางธุรกิจต่าง ๆ ในช่วงประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นแนวโน้มการใช้งาน Generative AI ในการทำงานค่อนข้างมากและแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่ผ่านมาที่ Generative AI ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าปัจจุบัน ส่งผลให้ความน่าเชื่อถือในการทำงานด้วย Generative AI ในอดีตนั้นมีไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันความสามารถของ Generative AI นั้นมีการพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด สามารถปฏิบัติงานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูล การอ้างอิงเอกสาร การสรุปความ การแปลภาษา และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมไปถึงการเขียนโค้ดโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ในทางการศึกษา พบว่ามีการนำ Generative AI มาใช้ประโยชน์เป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการทำงาน การค้นหาข้อมูล การสรุปงาน และการแต่งเนื้อหาให้มีความสวยงามและถูกต้องตามลักษณะการใช้งาน เช่น รูปแบบการเขียนอีเมล การเขียนจดหมายราชการ หรือแม้แต่การเขียนข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้การเรียนรู้และการทำงานลดระยะเวลาลงไปได้มาก จากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่า มีการใช้ Generative AI เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายถึงระดับอุดมศึกษา เนื่องจากความสามารถอันโดดเด่นประการหนึ่งของ Generative AI คือ สามารถเขียนโค้ดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้อย่างถูกต้อง สวยงาม กระชับ และเข้าใจง่าย จึงมีผู้ใช้ Generative AI ในการเขียนโปรแกรมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยผู้ใช้สามารถกำหนดคำสั่ง (Prompt) อย่างง่าย ๆ ก็จะได้โปรแกรมพร้อมใช้งานทันที ซึ่งความสามารถที่กล่าวมานี้ส่งผลให้มีการใช้งานในโรงเรียนและสถานศึกษาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากนักเรียนสามารถสรุปงาน ทำงาน และส่งงานให้อาจารย์ได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ
ผลงานวิจัยหลายชิ้นได้ชี้ให้เห็นว่า ผู้เรียนสามารถทำงานที่มีคุุณภาพได้มากขึ้นจากการใช้งาน Generative AI ส่งผลให้การใช้งานยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะในระดับชั้นมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยี Generative AI มาใช้ในทางการศึกษานั้นต้องดำเนินไปด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากหากผู้เรียนใช้งาน Generative AI ในการทำงานส่งโดยที่ครูผู้สอนไม่ทราบมาก่อน อาจเป็นอันตรายต่อตัวนักเรียนเอง และอาจทำให้ครูประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนผิดพลาดได้
เมื่อครูผู้สอนตระหนักถึงศักยภาพและความสามารถอันทรงพลังของ Generative AI แล้ว ครูควรต้องเตรียมพร้อมในการพัฒนาตนเองให้ทันต่อเทคโนโลยีประเภทนี้ โดยจากการศึกษาและการทดลอง พบว่า เมื่อครูมีการจัดการกระบวนการเรียนการสอนที่ดี วางแผนงาน และกำหนดเกณฑ์การประเมินผลที่เหมาะสมแล้ว จะสามารถให้นักเรียนใช้เครื่องมือที่มีความฉลาดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่กระบวนการสอน "Generative AI Based Learning" หรือการจัดการเรียนรู้โดยใช้ Generative AI เป็นฐาน ที่จะจัดกระบวนการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องมือ Generative AI ในการพัฒนาองค์ความรู้ของผู้เรียน สนับสนุนให้ผู้เรียนใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทรงพลัง และมีประสิทธิภาพสูงนี้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการใช้ชีวิตประจำวัน และเพื่อให้เกิดทักษะการใช้เทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในอนาคต
นอกเหนือจากการนำมาใช้ในทางการศึกษาแล้ว Generative AI ยังมีบทบาทสำคัญในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะดิจิทัล งานแอนิเมชัน และมิวสิควิดีโอ ตลอดจนการใช้งานใน ภาคอุตสาหกรรม เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยี Generative AI อาจส่งผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ ในวงกว้าง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล และสถาบันการศึกษา จะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
สรุปได้ว่า Generative AI เป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์ และมีศักยภาพสูงมากในการสร้างผลกระทบต่อสังคมในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการศึกษา จึงเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนและสถาบันการศึกษาที่จะต้องปรับตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีนี้ สร้างกระบวนการเรียนการสอนให้ผู้เรียนสามารถนำประโยชน์จากเทคโนโลยีมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล เพื่อให้เกิดการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างแท้จริง